ยันต์ ที่ฝาสีผึ้งเรียกยันต์นะอกแตก
ยันต์ตัวนี้ครูบาอาจารย์หลาย ๆ คน
เอามาใช้ เอามาพูด เอามาประยุค
ต้นตำราการมาของยันต์นะอกแตก
ยันต์นะอกแตกตัวนี้เราจะเห็นเลยว่า
การยันต์การของยันต์
ยันต์จะเป็นรูปหัวใจก็คือเห็น
เป็นรูปลักษณ์ของหัวใจ
ในหัวใจมีตัว ณ ทั้งหมด 3 ตัว
ณ ตรงกลาง ก็คือโดนผ่าครึ่ง
ณ ซ้าย ณ ขวา บูรพาจารย์โบราณ
นะหัวตำราเป็นฤๅษีที่นั่งถือบันเฑาะก์ของพระศิวะ
บันเฑาะก์ ก็คือ 2 เพศ
คนที่เป็นมนุษย์ 2 เพศ เขาเรียกว่าบันเฑาะก์
คือฤๅษีที่ถือความเป็นไปของเพศชายและเพศหญิง
มหาฤๅษีกะปินะมีคุณวิเศษในเรื่อง
ควบคุมอารมณ์ของมนุษย์
เมื่อไหร่ที่ทำสีผึ้งนางมัทรีต้องบวงสรวงฤษีองค์นี้
.
ยันต์ตัวนี้ท่านมหาฤๅษีเห็นความเป็นมาเป็นไป
ในมหาชาดกของพระเวชสันดร
และก็เห็นคุณวิเศษของความรักที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลก
ก็คือความรักของแม่ที่รักลูก
เป็นรักที่ปราศจากทุกอย่าง
ปราศจากความอยากได้อยากมี
คือรักที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนเป็นรักที่บริสุทธิ์มาก
ก็คือรักจากแม่ที่มีต่อลูก
โดยเฉพาะเป็นรักของพระนางมัทรีที่มีต่อลูก 2 คน
ก็คือกัณหากับชาลี เป็นพระมหาโพธิสัตว์
ของพระเวชสันดรด้วย
เป็นลูกที่ออกมาจากพระมหาโพธิสัตว์
.
ยันต์นะอกแตก มีตัว นะ ทั้งหมดอยู่ 3 ตัว
นะ ซ้าย กับขวา เปรียบเสมือนเป็นกัณหากับชาลี
นะตรงกลางก็คือหัวใจของนางมัทรี
เท่ากับหัวใจของนางมัทรีมีลูก 2 คน
แต่อุตณรงค์ที่อยู่ด้านบนเป็นตัวแทน
ของพระเวชสันดรก็คือไว้สูงสุดแห่งหัวใจตัวเอง
.
ยันต์ นะ ตัวนี้มหาฤษีท่านกะปินะท่านก็ได้
บัญญัติประพันธ์ขึ้นมาว่าเปรียบเสมือน
เป็นความรักที่บริสุทธิ์ แต่โดนผ่าอก
ก็คือผ่ากลาง บูรพาจารย์ในสมัยอดีต
ก็เลยเรียก นะตัวนี้ว่า “นะอกแตก”

นะ ตัวนี้ ครูบาอาจารย์หลาย ๆ ท่าน
หลาย ๆ รูป ในหลาย ๆ
ยุคสมัยก็ถูกเอาไปเป็นยันต์
สำคัญที่เกี่ยวกับเรื่องเมตตามหานิยมหรือเสน่ห์
.
ในตัวยันต์ของฝา มีเลข 7 ไทยอยู่ 2 ข้าง
ก็คือความผูกพันของแม่รักลูกคือเป็นสายใย
ที่เหนี่ยวแน่น ทำให้เกิดวัฎจักรสงสาร
เกิด วัฎ เวียนว่ายตายเกิดทั้งหมด
มนุษย์จะหลุดพ้นได้ก็คือว่าด้วยเรื่องหัวใจ
ของอภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์
สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ มี 7 ตัว
อันนี้ก็คือหัวใจของอภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์
เดินหน้าและถอยหลัง
ในนัยยะหนึ่งและอีกนัยยะหนึ่ง
คือกำลังของดาวเสาร์คือโทสะ โมหะ
.
ในยันต์ตัวนี้แฝงความเร้นลับ
ในยันต์ตัวนี้อย่างมากมาย
และในตำราไม่มีบันทึก เพราะสิ่งที่จะบอกต่อ
ไปนี้คือเป็นสิ่งที่อาจารย์ ก็คือ พ่อลำดวน
บอกกับปากให้จำไม่ให้จด
.
เลข 7 ไทย 2 ตัวมีความหมายว่าด้วย
เอาไว้ว่าด้วยเรื่อง โทสะ โมหะ โทสะ
7 ชนิด กับโมหะ 7 อย่าง และว่าด้วยเรื่อง
กำลังของดาวเสาร์ ว่าด้วยเรื่องหัวใจ
อภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์ มนุษย์ถ้าไม่เกิด
โทสะก็จะไม่เกิดวัฎฎะของการ
เวียนว่ายตายเกิด ก็คือโทสะแห่งความโกรธ
มนุษย์ถ้าไร้ความโกรธ
มนุษย์ถ้าหยุดความโกรธได้แทบจะหยุดทุกอย่าง
มนุษย์ถ้าหยุดซึ่งความลุ่มหลงได้
มันก็หยุดทุกอย่างได้เพราะฉะนั้น
ถ้าหยุดความโกรธกับความลุ่มหลงได้
ทางสายกลางก็เกิด
นี่คือสิ่งที่ซ่อนเอาไว้ในเลข 7 ไทย
.
สีผึ้งพระนางมัทรี วิธีทำก็คือ
เบื้องต้นเริ่มจากสีผึ้งก่อน สีผึ้งต้องไป
เอามาจากผู้หญิงพรหมจรรย์ให้ได้ 7 วัน
ก็คือจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์เสาร์
ก็คือ 7 วัน พอได้ สีผึ้งมาจาก 7 วัน
ของคนที่เป็นผู้หญิงพรหมจรรย์ก็เอาสีผึ้งนี้มาเริ่มต้น
แห่งการเขียนยันต์ “นะอกแตก”
เขียนยันต์แล้วก็ละลาย
เขียนยันต์แล้วก็ละลาย
แต่ให้เริ่มต้นทำในปีที่เป็นเสาร์ 5 เท่านั้น
เพราะปีที่เป็นเสาร์ 5 มันจะมีวันจันทร์ 15 ค่ำ
ที่ขึ้นในวันพฤหัสบดี นี่คือเคล็ดเลย
ถ้าไม่เรียนไสยศาสตร์โหราศาสตร์จะไม่รู้เรื่องนี้
ปีไหนมีเสาร์ 5 ปีนั้นจะมีขึ้น 15 ค่ำ
วันพฤหัสบดีเป็นปฐมแรกของปี
.
คราวนี้ตำราเขาระบุเลยว่าการจะ
ทำสีผึ้งนางมัทรีเริ่มต้นลงไหว้ครูไหว้ครู
แห่งมหาฤาษีกะปินะครั้งแรกให้ไหว้ครู
ในเสาร์ 5 ในปีที่มีเสาร์ 5 ให้เริ่มทำ
ในวันพฤหัสบดีขึ้น 15 ค่ำ
.
เบื้องต้นของสีผึ้งเป็นสีผึ้งหัวใจนางมัทรี
ก็คือกำลังของดาวผู้หญิงดาวจันทร์
เพราะฉะนั้นเขาจะต้องทำในวันจันทร์
ที่มีฤทธิ์ที่สุดก็คือ วันจันทร์เต็มดวงจันทร์
วงรอบในดวงของจันทรคติก็คือขึ้น 15 ค่ำ
ขึ้น 15 ค่ำ สีผึ้งจะมีฤทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อ
เราทำในวันขึ้น 15 ค่ำ
.
วันพระจันทร์เต็มดวงให้เราเริ่มครั้งแรก
ในวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีนั้นจะมีเสาร์ 5
ก็คือจะทำให้ดาวเสาร์ ก็คือดาวเลข 7
ที่อยู่ในยันต์หัวใจนางมัทรีตัวแรก
ที่อยู่ทางฝั่งซ้ายมือมีพลัง
วันเสาร์ก็เปรียบเสมือนเราต้องเริ่มทำ
ในวันเสาร์ 5 มันจะทำให้เสาร์ตัวแรก
คือดาว 7 ตัวแรกที่อยู่ใน
ยันต์หัวใจนะอกแตกมีพลัง
.
สีผึ้งของนางมัทรีนี้ เริ่มทำปี 2536
ปีนั้นเป็นปีวอกเข้าปีระกา
คือครั้งแรกคือทำ วันพฤหัสที่ 7
เดือนมกราคมขึ้น 15 ค่ำ
เดือน 2 ปีวอกเริ่มทำสีผึ้งอันนี้
เคล็ดอีกตัวนึงว่าด้วยเรื่องเลข 7 ตัวนี้
บูรพาจารย์ไม่มีในตำราเขาบอกปากต่อปาก
คนที่เรียนจริงว่าให้ทำยังไงกรรมวิธี
ในการทำได้บอกปากต่อปากไม่มีการบันทึก
.
บอกว่าการที่จะทำเราจะต้องทำตัวนี้
ทำเสร็จตัวนี้ให้มีพลังในการที่เราจะ
ต้องทำ7วันนี้ให้มีพลังในการที่เรา
จะต้องทำให้มันครบทั้ง 7 วัน
ในขึ้น 15 ค่ำ ซึ่งปีเสาร์ 5 มัน
จะมีครบเลย ในปี 36 มี 15 ค่ำ
อีกทีในเดือน 3 เดือนถัดไปก็เริ่ม 15 ค่ำ
ตรงกับวันเสาร์ที่ 6 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2536
ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปี ปีวอก และครั้งที่ 3
คือตรงกับวันที่ 7 เดือนมีนาคม ขึ้น 15 ค่ำ
วันอาทิตย์ที่ 7 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีวอก
และมาอีกทีคือวันอังคารที่ 6 เดือนเมษายน
ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีระกา เพราะไทย
จะเปลี่ยนปีช่วงเดือนเมษายน
แล้วก็มาเป็นวันพุธที่ 5 ขึ้น 15 ค่ำ
เดือน 6 เดือนพฤษภาคม
ปีระกา แล้วมาอีกทีก็คือวันศุกร์ที่ 4
เดือนมิถุนายน ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีระกา
แล้วใหม่อีกทีคือพิธีสุดท้ายมันจะจบที่
จันทร์เสมอจะตรงกับวันจันทร์ขึ้น 15 ค่ำ
เดือนสิงหาคม วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม
ขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 ปี เพราะปี 36
มีเดือน 8 สองรอบ ให้เริ่มทำเดือน
ในเดือนที่มี 8 2 รอบ
เพราะนางมัทรี มีลูก 2 คน
มีใจเป็น 2 ดวง ก็คือมี 8 2 ครั้ง
เริ่มทำวันพฤหัส จบ ที่วันจันทร์
ต้องมีทุกวันครบ 7 วันที่ตรงกับ
ขึ้น 15 ค่ำ ในเดือนที่มี 8 สองครั้งเท่านั้น
.
เหตุผล มันจะทำให้สีผึ้งใช้ได้ทุกวัน
และมีกำลังในทุกวัน
.
กวนปี 36 กวนทิ้งไว้ และมาทำอีกทีในปี 43
(7 ปี) ซึ่งมีเสาร์ 5 เหมือนกัน
(ครั้งหลังไม่จำเป็นต้องมี เดือน 8 2 รอบ)
เสาร์ 5 ปี 43 เริ่มวันพฤหัสเหมือนกัน
ตรงกับวันที่ 20 มกราคม 15 ค่ำเดือน 2
ปีเถาะและก็ครั้งที่ 2 ก็จะตรงวันที่ 19
วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ขึ้น 15 ค่ำเดือน 3
ปีเถาะครั้งที่ 3 จะเป็นวันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม
ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะครั้งต่อไป
ก็จะเป็นวันที่ 18 อังคารที่ 18 เมษายน
ขึ้น15ค่ำปีมะโรงแล้วก็เป็นวันพุธที่ 17 พฤษภาคม
ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ปีมะโรงแล้วก็เป็น
วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 15 ค่ำเดือน 7
ปีมะโรงแล้วจบที่วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม
ขึ้น 15 ค่ำเดือน 1 ปีมะโรง
.
นี่คือเคล็ดของมันการกวนสีผึ้ง
ปีนั้น 7 วัน ปี 36 กวน 7 ครั้ง
ปี 43 กวน 7 ครั้งรวมเป็น 14 ครั้งที่กวน
แต่มันแค่ 14 ครั้ง จะต้องหาฤกษ์
อุดมมงคลสูงสุด เพื่อกวนครั้งที่ 15
เป็นครั้งสุดท้ายที่กวน
ที่สำคัญต้องกวนให้อยู่ใน “เทศก์มหาชาติ”
ด้วยในพิธีเทศก์มหาชาติต้องเริ่มกวน
ตั้งแต่เทศก์กัณฑ์ชูชก เพราะคนที่ทำ
ให้นางมัทรีอกแตกคือชูชกเป็นคนขอ
เริ่มตั้งแต่กัณฑ์ของชูชกกันที่ 5
(มีทั้งหมด 10 กัณฑ์) หยุดช่วงในระหว่างนั้น
ว่าคาถากวนไป และมากวนอีกที
ในเทศก์ของกัณฑ์มัสรี และเอามา
ปลุกเสกอีกทีเป็นวิธีสุดท้ายในการบรรจุสีผึ้ง
.
ผงต่างไม่ว่าจะเป็นโผง เป็นดินรอยตีน
พวกไม้ทั้งหลายมันจะต้องว่าด้วยเรื่อง
ลูกร้องไห้ตามแม่ หรือแม่ร้องไห้
ตามลูกเท่านั้น เช่นน้ำมันก็จะเป็น
น้ำมันปลาพะยูนที่แม่ร้องไห้ตามลูก
เพราปลาพะยูนสมัยก่อนจะมีน้ำมัน
เขาจะต้องเอาปลาจับลูกมาและก็
เอาผิวไม้ไผ่ให้มันร้อง แอ๊ดๆๆๆๆ
และตัวแม่จะว่ายไปรอบ ๆ และ
จะมีเมือกน้ำตาออกมา
อันนั้นคือความรักของแม่รักลูก
และเถาวัลย์ผูกทุกชนิด
ที่มันผูกมันมัดไว้ทุกชนิด
และว่าด้วยเรื่องน้ำมันสารพัดน้ำมัน
ว่าด้วยเรื่องผงสารพัดผง
เขียนผงลบผงสารพัด
ที่สำคัญสีผึ้งนางมัทรีต้องเป็น “สีแดง”
และสีแดงต้องมาจากว่านละหุ่งแดง
ต้องมีส่วนผสมของว่านละหุ่งแดง
วิชามอญมีการทำว่าน 3 สี โดยใช้ว่านละหุ่งแดง
ต้องเป็น “สีแดง” เพราะมันเป็นเลือด
ในอกแม่ แต่สูงสุดคือจำนวนมวลสารที่โหดมาก
.
กลิ่นของสีผึ้งนางมัทรี
.
ต้องเป็นกลิ่นของมะลิป่า
เพราะสมัยก่อนเขาจะทำเหมือนลมควันเทียน
ก็คือเอาดอกมะลิป่ามาสกัดและใส่ลงไป
และอบควันเทียนให้สีผึ้งมีกลิ่นมะลิป่า
เหตุผลก็คือเป็นกลิ่นตัวของกัณหาชาลี
นางมัทรี คือจะมีดอกมะลิป่า ติดตัวเลย
เพราะธรรมศาลา ที่รายล้อมที่อยู่ในป่า
ก็คือดอกมะลิป่า ทำให้กัณหาชาลี
กับนางมัสรีมีกลิ่นมะลิป่าติดตัว
ซึ่งเป็นกลิ่นติดตัวของพระนางมัทรี
สีผึ้ง นะอกแตก มันต้องมีกลิ่นของนางมัทรี
อยู่ในนั้นด้วย น้ำที่เป็นสีแดง ก็คือ
เลือดในอกที่แตกออกมา ในความรักลูก
